วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลาประมาณ 02.50 น. เกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้อย่างรุนแรงภายในโรงงานของบริษัท หมิงตี้เคมิคอล จำกัด (บจก.หมิงตี้ฯ) ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟม EPS (Expandable Polystyrene) และมีการใช้สารเคมีจำนวนมากในกระบวนการผลิต เช่น สารสไตรีนโมโนเมอร์ (styrene monomer) และ เพนเทน (pentane) เป็นต้น1,2 (ขณะเกิดเหตุภายในโรงงานมีสารสไตรีนเหลืออยู่ปริมาณมากกว่า 1,600 ตัน ที่บรรจุอยู่ในถังขนาด 2,000 ตัน3 และมีการเก็บสารเคมีอื่นอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อและปริมาณ นอกจากนี้ยังพบถ่านหินตกค้างภายในโรงงานจำนวน 20 ตัน4)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับอำเภอบางพลี ออกประกาศอพยพเร่งด่วนให้ประชาชนในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงงาน5,6 กรมอนามัยออกประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่ควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการสูดดมกลิ่นควันไฟจากโรงงาน เนื่องจากวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตคือ สารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene Monomer)7 กรมควบคุมมลพิษได้ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนว่า สารเคมีที่ถูกไฟไหม้คือ สารสไตรีน (สารตั้งต้นใช้ผลิตโฟม) และอันตรายของสารชนิดนี้8 และในเวลาต่อมา กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ ได้คำนวณค่าความเข้มข้นของสารสไตรีนในพื้นที่ไฟไหม้ช่วงวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 (วันที่เกิดเหตุ) โดยใช้แบบจำลอง Box Model ซึ่งใช้ข้อมูลอัตราการระบายจากแหล่งกำเนิด มาประมวลผลร่วมกับสภาพอุตุนิยมวิทยาของพื้นที่ คำนวณจากรัศมี 3 ระยะ ได้แก่ 1, 3 และ 5 กิโลเมตร ตามลำดับ พบว่าในระยะรัศมี 1 กิโลเมตร มีความเข้มข้นของสารสไตรีนอยู่ที่ 1,035.47 ppm, รัศมี 3 กิโลเมตร มีค่า 86.43 ppm และรัศมี 5 กิโลเมตร มีค่า 51.77 ppm และเมื่อเปรียบเทียบผลการตรวจวัดได้กับประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่องค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจแบบเฉียบพลันของสารสไตรีน พบว่าในระยะรัศมี 1 กิโลเมตรมีความเข้มข้นของสารชนิดนี้สูงเกินค่าขีดจำกัดของประกาศฉบับดังกล่าว
ทั้งนี้ตามประกาศฯ เรื่องค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจแบบเฉียบพลันของสารสไตรีน ได้กำหนดขีดจำกัดการรับสัมผัสฯ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 มีค่า 20 ppm (ระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีในบรรยากาศ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน), ระดับที่ 2 มีค่า 130 ppm (ระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีในบรรยากาศ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไม่ร้ายแรง) และระดับที่ 3 มีค่า 1,100 ppm (ระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีในบรรยากาศ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต)9
จากการตรวจสอบเหตุการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบความเป็นไปได้ของสาเหตุ ดังนี้ (1) อาจเกิดจากการคายความร้อนจากปฏิกิริยาทางเคมีในถังปฏิกิริยาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปฏิกิริยาที่ควบคุมไม่ได้ (uncontrolled polymerization) ทำให้เกิดก๊าซ สไตรีนปริมาณมากภายในถังปฏิกิริยา และความดันในถังปฏิกิริยาสูงจน rupture disk แตกออกและระบายความดันออกมาสู่บรรยากาศ10 , (2) อาจมีการรั่วไหลจากท่อหรือวาล์วที่จะลำเลียงสไตรีนโมโนเมอร์ไปยังถังปฏิกิริยาและเกิดการสะสมเป็นปริมาณมากบริเวณกระบวนการผลิตที่มีถังปฏิกิริยาจนเกิดเป็นไอหมอกก๊าซสไตรีนโมโนเมอร์ 11,12 และ (3) อาจมีการรั่วไหลของก๊าซเพนเทนที่ท่อหรือวาล์วลำเลียงไปบริเวณจัดเก็บหรือบริเวณการผลิต13
การระเบิดของโรงงานของ บจก.หมิงตี้ฯ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐ เอกชน และประชาชนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง เนื่องจากสารเคมีและวัสดุที่ไหม้ไฟทำให้เกิดกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วบริเวณ จนสามารถมองเห็นกลุ่มควันดำลอยไกลออกไปหลายสิบกิโลเมตร มีอาคารบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายอย่างน้อย 70 หลังคาเรือน รถยนต์เสียหายอย่างน้อย 15 คัน ประชาชนบาดเจ็บอย่างน้อย 15 ราย อาสาสมัครบาดเจ็บอย่างน้อย 5 ราย และมีอาสาสมัครเสียชีวิต 1 ราย14 นอกจากนี้มีอาคารโรงงานที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์จำพวกโฟมคล้าย บจก.หมิงตี้ฯ ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแรงระเบิดเช่นกัน ด้านการเยียวยาความเสียหายสำหรับประชาชน พบว่า อบต. ราชาเทวะ ได้เปิดลงทะเบียนจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบในช่วงวันที่ 12-14 กรกฎาคม 2564 โดยกำหนดวงเงินเยียวยาที่จะให้แก่ประชาชนไว้สูงสุดรายละไม่เกิน 49,500 บาท และมีประชาชนมาลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,266 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 423 ล้านบาท15 อย่างไรก็ดี ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ประชาชนที่ลงทะเบียนไว้เปิดเผยว่ายังไม่ได้รับการติดต่อจาก บจก.หมิงตี้ฯ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งเรื่องการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด16
เรื่องความเสียหายและผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม สมบัติ เหสกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ได้ประเมินความเสียหายตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ภาครัฐควรจะต้องกำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ ซึ่งจะต้องครอบคลุมถึงการจัดการมลพิษ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ และค่าเสียโอกาสจากการใช้งบประมาณ โดยประเมินตามขนาดพื้นที่เสียหายที่เกิดขึ้นและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง มูลค่าความเสียหายที่ชี้วัดได้อยู่ที่ประมาณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท และมูลค่าความเสียหายที่ต้องรอการชี้วัดอย่างต่อเนื่องตามขอบเขตที่ได้รับผลกระทบ เช่น ความเจ็บป่วยในอนาคตของประชาชน ฯลฯ มีมูลค่าสูงประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาท17 นอกจากนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังสร้างผลกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ตัวอย่างเช่น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รอบโรงงานของ บจก.หมิงตี้ฯ ด้อยค่าลง 5 เปอร์เซ็นต์ 18,19
เหตุการณ์ระเบิดที่โรงงาน บจก.หมิงตี้ฯ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมในการบรรเทาสาธารณภัยและการขาดประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาอุบัติภัยทางเคมีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในหลายด้าน ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการไม่มีข้อมูลชนิดและปริมาณของสารเคมีที่เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ ทั้งนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดให้มีการพัฒนาฐานข้อมูลกลางของสารเคมีที่ครอบคลุมถึงปริมาณการเก็บ การใช้ การผลิต การปลดปล่อย และการเคลื่อนย้ายสารเคมีต่างๆ และการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวด้วยระบบออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ฐานข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญที่จะช่วยทำให้หน่วยงานและบุคลากรที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติฉุกเฉินสามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้ข้อมูลประกอบการวางแผนและตอบโต้สถานการณ์ได้ฉับไว แม่นยำ และปลอดภัย ในกรณีสารเคมีระเบิดของ บจก.หมิงตี้ฯ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นการไม่เปิดเผยข้อมูลสารเคมีทั้งจากโรงงานที่เป็นต้นเหตุและหน่วยงานกำกับดูแลคือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูล การขาดข้อมูลสารเคมีถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะสำหรับพนักงานดับเพลิงและหน่วยบรรเทาสาธารณภัย ทั้งในแง่ของความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากเพลิงเคมี วิธีการดับเพลิงเคมีและอุปกรณ์การดับเพลิง เป็นต้น ความไม่พร้อมและไม่มีความรู้จากการขาดข้อมูลส่งผลให้อาสาสมัครบาดเจ็บอย่างน้อย 5 ราย และเสียชีวิตอีก 1 ราย20
ในอดีต ประเทศไทยเคยประสบกับอุบัติภัยทางเคมีมาแล้วหลายครั้งและมีอย่างน้อย 2 ครั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงและสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น กรณีคลังเก็บสินค้าอันตรายที่เก็บสารเคมีจำนวนมากของท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ เกิดระเบิดและมีเพลิงไหม้เป็นเวลานานเกือบสัปดาห์ในปี พ.ศ. 2534 สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง มีประชาชนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 6,000 คน มีผู้เสียชีวิตทั้งในวันเกิดเหตุและเสียชีวิตในเวลาต่อมารวมมากกว่า 30 ราย บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบเสียหายมากกว่า 600 หลังคาเรือน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 100 ล้านบาท21 และกรณีถังเก็บสารเคมีระเบิดที่โรงงานของบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเมื่อปี พ.ศ. 2555 สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง มีประชาชนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 1,500 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,200 ราย และคนงานเสียชีวิตทันทีในจุดที่เกิดการระเบิดอย่างน้อย 11 ราย บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบเสียหายมากกว่า 300 หลังคาเรือน ความเสียหายมากกว่า 1.5-1.7 พันล้านบาท22 นอกจากความเสียหายทางชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากแล้ว เหตุการณ์แต่ละครั้งยังทิ้งสารตกค้างและสารมลพิษสะสมในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลานานด้วย จากเหตุการณ์ในอดีต สู่เหตุการณ์โรงงาน บจก.หมิงตี้ฯ ระเบิดในปี พ.ศ. 2564 (ระยะเวลา 30 ปี) แสดงให้เห็นว่า หน่วยงาน องค์กร หรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังขาดการเรียนรู้และการพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการและการป้องกันเหตุอุบัติภัยทางเคมี
สารเคมีหลักที่ บจก.หมิงตี้ฯ ใช้ในกระบวนการผลิตเม็ดโฟม EPS (Expandable Polystyrene) จัดเป็นสารที่เมื่อถูกเผาไหม้จะมีความอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรัง รายละเอียดดังนี้
สารอันตรายข้างต้นเป็นสารเพียงสองชนิดที่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ ขณะที่ในกระบวนการผลิตของโรงงานยังมีการเก็บและใช้สารเคมีอีกหลายชนิดที่ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลออกมา อย่างไรก็ดีสารทั้งสองชนิดก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ เช่นเดียวกับกรณีคลังเก็บสินค้าอันตรายของท่าเรือคลองเตยระเบิด ในช่วง 1 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์ที่ท่าเรือคลองเตยพบว่า มีประชาชนจำนวนมากที่ป่วยเนื่องจากได้รับสารเคมีในช่วงไฟไหม้จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อาการเจ็บป่วยที่พบมากสุดคือ กลุ่มผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ รองลงมาคือโรคระบบผิวหนัง โรคระบบทางเดินอาหาร โรคตา โรคระบบประสาท โรคระบบไหลเวียนโลหิต และอื่นๆ ตามลำดับ32,33 และกรณีถังเก็บสารเคมีระเบิดที่โรงงาน บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ใน 5 วันแรกหลังเกิดเหตุ มีการตรวจพบสารโทลูอีน เบนซีน และ สไตรีนในน้ำทิ้งรอบโรงงาน34 ก่อให้เกิดการสะสมของสารเคมีอันตรายเป็นจำนวนมากที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานในช่วงเกิดเหตุและประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงาน ความแตกต่างที่พบคือ ในกรณี บจก.หมิงตี้ฯ ยังไม่พบว่ามีการติดตามเฝ้าระวังทางสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับอันตรายจากสารเคมีในกรณีของ บจก. หมิงตี้ฯ เนื่องจากไม่มีการโยกย้ายโรงงานอันตรายออกจากพื้นที่อยู่อาศัยหรือการควบคุมการเติบโตของเมืองในกรณีที่พื้นที่นั้นมีโรงงานอันตรายตั้งอยู่ก่อน หรือการจัดทำพื้นที่กันชน (buffer zone) ระหว่างเขตโรงงานและเขตชุมชน ตามข้อบังคับของกฎหมายผังเมือง ในกรณีสารเคมีระเบิดของ บจก.หมิงตี้ฯ จึงเป็นกรณีที่น่าศึกษาต่อไปถึงปัญหาการไม่บังคับใช้กฎหมายผังเมืองให้เคร่งครัด จนนำไปสู่การจัดตั้งโรงงานประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสารอันตรายต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน หรือการอนุญาตให้มีการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ และห้างร้านต่างๆ ใกล้ชิดโรงงาน เมื่อเกิดอุบัติภัยจึงสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ในอดีตกรณีคลังเก็บสินค้าอันตรายของท่าเรือคลองเตยระเบิด มีเพียงกำแพงคอนกรีตกั้นระหว่างคลังสินค้าอันตรายกับชุมชน ส่งผลให้มีบ้านเรือนจำนวน 642 หลังคาเรือนบนเนื้อที่ดินประมาณ 5 ไร่ จมอยู่ในกองเพลิง35 หรือกรณีของโรงงาน บจก.หมิงตี้ฯ มีเพียงกำแพงคอนกรีตกั้นระหว่างโรงงานกับหมู่บ้านจัดสรรขนาดหลายร้อยหลังคาเรือน เมื่อเกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้ หมู่บ้านที่อยู่ติดกับโรงงานจึงได้รับความเสียหาย36 อีกประการหนึ่งที่พบว่าเป็นปัญหาควบคู่กันมาคือ ระบบการจัดการ จัดเก็บ ติดตามตรวจสอบ และควบคุมกระบวนการต่างๆ ของสารอันตรายและสารเคมีที่เป็นวัตถุดิบของโรงงาน ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอหรือไม่มีการกำกับให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติภัยร้ายแรงจากสารเคมีจึงเกิดได้ง่ายและส่งผลรุนแรงเมื่อโรงงานนั้นตั้งอยู่ใกล้ชุมชน
อ้างอิง