ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่า พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียที่คลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้างในเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ไม่กี่วันต่อมา พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธ์ุแอฟริกาใต้ (B.1.351) ที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส จำนวน 3 ราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 ประเทศไทยจึงอยู่ในความเสี่ยงของการเผชิญหน้ากับเชื้อโควิดกลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์บราซิล (ซึ่งพบในสถานกักตัวของรัฐ) และสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์ที่น่ากังวลระดับโลก[1]
เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกา มีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่งสำคัญ ที่เรียกว่า E484K ที่ทำให้เชื้อดังกล่าวหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ได้ดี ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ยังคงเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว[2] จากการศึกษาของนักวิจัยชาวแอฟริกาใต้ พบว่าเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ B.1.351 มีแนวโน้มความรุนแรงในการติดต่อมากขึ้นราว 50% โดยมีการเกาะยึดติดในเซลล์ของมนุษย์ได้ดี และติดต่อได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อินเดีย หรืออังกฤษ[3] จึงมีความกังวลว่าไวรัสสายพันธุ์นี้จะแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายขึ้น และไม่สามารถตอบสนองต่อวัคซีนที่มีอยู่ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคให้ข้อมูลว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกา ที่พบในประเทศไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับที่พบในมาเลเซีย เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยคนแรกมีประวัติสัมผัสญาติที่ลักลอบมาจากมาเลเซีย จึงเชื่อได้ว่าเป็นเชื้อที่ติดมาจากมาเลเซีย
ปัญหาเรื่องการเดินทางข้ามแดนผิดกฎหมาย จึงยังเป็นประเด็นสำคัญที่ซ้ำเติมให้การระบาดของโควิด-19 ไม่จบสิ้น หากไม่มีการมาตรการควบคุมอย่างจริงจัง รวมทั้งมาตรการในการป้องกันที่ได้ผลในเบื้องต้น ยังคงเป็นมาตรการทางสาธารณสุข และมาตรการส่วนบุคคล ได้แก่ การใส่หน้ากาก ล้างมือ รวมถึงการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่ยังต้องทำแม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม
รายงานสุขภาพคนไทย 2564 เรื่องพิเศษประจำฉบับนำเสนอ “โควิด-19 มหันตภัยร้ายเขย่าโรค” เชิญผู้อ่านที่สนใจสามารถติดตามรูปเล่มที่กำลังจะออกจากโรงพิมพ์ปลายเดือนพฤษภาคม และรายละเอียดเพิ่มได้ที่ www.thaihealthreport.com
[1]
[2]
[3]
ภาพประกอบ